วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชุดเดรสเด็กผู้หญิงผ้าฝ้ายยีนส์ลาย Vintage Blue เกรดพรีเมี่ยมจากแบรนด์ชั้นนำส่งออกยุโรป รหัส GD084 ไซส์ 6,8,10,12 *ส่งฟรี*








ขายปลีกพร้อมส่งราคา 720 บาท/ตัว สมาชิกรับราคาพิเศษ
เหลือไซส์ 6 ขวบ จำนวน 1 ตัว *ส่งฟรี*
เหลือไซส์ 8 ขวบ จำนวน 1 ตัว *ส่งฟรี*
เหลือไซส์ 10 ขวบ จำนวน 1 ตัว *ส่งฟรี*
เหลือไซส์ 12 ขวบ จำนวน 1 ตัว *ส่งฟรี*
*ด่วนมีจำนวนจำกัด*

สั่งสินค้าได้จากลิ้งค์ด้านล่างจ้าา
http://www.macaroonies.net/product/2532/ขายปลีกพร้อมส่ง-เสื้อผ้าเด็กขายปลีก-ชุดเดรสเด็กผู้หญิงผ้าฝ้ายยีนส์ลาย-vintage-blue-เกรดพรีเมี่ยมจากแบรนด์ชั้นนำส่งออกยุโรป-รหัส-gd084-ไซส์-681012

ขายส่งยกแพ็ค (พร้อมส่ง) 4 ชุด/แพ็ค ไซส์ 6,8,10,12 ไซส์ละ 1 ชุด
ราคา 1,450 บาท/แพ็ค สมาชิกรับราคาพิเศษ

สั่งสินค้าได้จากลิ้งค์ด้านล่างจ้าา
http://www.macaroonies.net/product/2518/ขายส่งพร้อมส่ง-เสื้อผ้าเด็กขายส่ง-ยกแพ็ค-4-ชุด-คละไซส์-ชุดเดรสเด็กผู้หญิงผ้าฝ้ายยีนส์ลาย-vintage-blue-เกรดพรีเมี่ยมจากแบรนด์ชั้นนำส่งออกยุโรป-รหัส-gd084ws-ไซส์-681012

พบสินค้าทั้งหมดได้ที่ http://www.macaroonies.net/

ชุดเดรสเด็กผู้หญิงผ้าฝ้ายลายจุด เกรดพรีเมี่ยมจากแบรนด์ชั้นนำส่งออกยุโรป รหัส GD103 ไซส์ 100,110,120,130 cm *ส่งฟรี*






ขายปลีกพร้อมส่งราคา 440 บาท/ตัว มี 2 สี, ชมพู,ฟ้า สมาชิกรับราคาพิเศษ
เหลือไซส์ 100 cm จำนวน 1 ตัว *ส่งฟรี*
เหลือไซส์ 110 cm จำนวน 1 ตัว *ส่งฟรี*
เหลือไซส์ 120 cm จำนวน 1 ตัว *ส่งฟรี*
เหลือไซส์ 130 cm จำนวน 1 ตัว *ส่งฟรี*
*ด่วนมีจำนวนจำกัด*

สั่งสินค้าได้จากลิ้งค์ด้านล่างจ้าา
http://www.macaroonies.net/product/2528/ขายปลีกพร้อมส่ง-เสื้อผ้าเด็กขายปลีก-ชุดเดรสเด็กผู้หญิงผ้าฝ้ายลายจุด-เกรดพรีเมี่ยมจากแบรนด์ชั้นนำส่งออกยุโรป-รหัส-gd103-ไซส์-100110120130

ขายส่งยกแพ็ค (พร้อมส่ง) 4 ชุด/แพ็ค ไซส์ 100,110,120,130 cm ไซส์ละ 1 ชุด
ราคา 870 บาท/แพ็ค สมาชิกรับราคาพิเศษ

สั่งสินค้าได้จากลิ้งค์ด้านล่างจ้าา
http://www.macaroonies.net/product/2514/ขายส่งพร้อมส่ง-เสื้อผ้าเด็กขายส่ง-ยกแพ็ค-4-ชุด-คละไซส์-ชุดเดรสเด็กผู้หญิงผ้าฝ้ายลายจุด-เกรดพรีเมี่ยมจากแบรนด์ชั้นนำส่งออกยุโรป-รหัส-gd103ws-ไซส์-100110120130

พบสินค้าทั้งหมดได้ที่ http://www.macaroonies.net/

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่) บทที่ 6


บทสรุป


เป็นที่ตระหนักกันดีว่า โลกปัจจุบันในศตวรรษใหม่ที่จะมาถึงมีการเปลี่ยนแปลง อย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับโลกในศตวรรษก่อนๆ ครอบครัวและเด็กๆ จะต้องเผชิญกับโลกยุคใหม่ ต้องปรับตัวและพัฒนาตนให้มีความสามารถ มีความพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างมากมาย (เสื้อผ้าเด็กขายส่ง macaroonies)

การปรับตัวในที่นี้ หมายถึง การเสริมสร้างศักยภาพของสมองให้มีประสิทธิภาพ พัฒนาสมองให้มีคุณภาพ มีความสามารถเต็มที่ ซึ่งพ่อแม่จะมีบทบาทสำ คัญอย่างมากในการส่งเสริมศักยภาพสมองของลูก

การเสริมสร้างศักยภาพของสมองลูกให้มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยที่ต้องเอื้ออำ นวยซึ่งกันและกัน นั่นคือ ปัจจัยภายในหรือกรรมพันธุ์ ที่เป็นตัวกำ หนดขั้นตอนการเจริญเติบโตของสมองโครงสร้างของสมอง และการทำ งานของสมองลูกตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์ กับปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมและวิธีการเลี้ยงดูของครอบครัว ที่มีผลต่อการพัฒนาสมองลูกตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์จนกระทั่งหลังคลอดและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทั้ง 2 ปัจจัยที่กล่าวมา เป็นสิ่งสำ คัญที่สุดในการพัฒนาสมองลูกให้เติบโตเป็นคนดี คนฉลาด รอบรู้ สามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดำ เนินชีวิตได้อย่างมีความสุข

เปรียบเสมือนว่าคนเราเกิดมาในโลกนี้เหมือนกับต้นไม้ที่มีเมล็ดพันธุ์อยู่แล้ว แต่จะต้องอาศัยการรดนํ้า ใส่ปุ๋ย เพื่อจะทำ ให้เมล็ดพืชเติบโตขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงสมบูรณ์ เช่นเดียวกันสมองของเราที่ธรรมชาติให้มาเป็นห้องว่างๆ ที่ยังไม่ได้ตกแต่ง ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมทำ ให้สมองเป็นห้องที่สมบูรณ์ เป็นสมองที่ฉลาดมีความสามารถมากที่สุด จึงกล่าวได้ว่าไม่มีความสามารถหรือความฉลาดใดที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยปราศจากสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

ปัจจุบันมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับยีนหรือหน่วยพันธุกรรมที่เป็นตัวกำ หนดการเจริญเติบโตและโครงสร้างของสมอง คนเรามียีนประมาณ 1 แสนยีน และครึ่งหนึ่งของยีนหรือยีน 5 หมื่นยีน เป็นยีนที่ทำ หน้าที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโตและการทำ งานของสมอง

นักวิทยาศาสตร์พบว่ามียีนที่กำ หนดคุณลักษณะของเซลล์สมองว่าจะเป็นชนิดใด มียีนที่กำ หนดเส้นทางการเดินของเซลล์สมองซึ่งจะเดินทางจากส่วนกลางของสมองไปยังพื้นผิวของสมอง และยังมียีนที่กำ หนดให้เครือข่ายเส้นใยสมองพัฒนาไปในทิศทางที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ยังมียีนที่เกี่ยวกับความจำ และการเรียนรู้ และยีนที่ทำ ให้เกิดความสุข ซึ่งคนที่มีความผิดปกติของยีนตัวนี้จะเป็นคนที่มีพฤติกรรมซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น ติดบุหรี่ ติดเหล้า ติดการพนัน หรือติดยาเสพย์ติด

ขณะเดียวกันก็มีข้อมูลมากมายมหาศาลเช่นเดียวกันเกี่ยวกับปัจจัยของสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของสมองและการเรียนรู้ สภาวะสุขภาพร่างกายและจิตใจของแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ก็มีผลต่อสมองลูกในครรภ์ด้วย

สงิ่ แวดลอ้ มในชว่ งแรกเรมิ่ ของชวี ติ ลกู เปน็ สงิ่ ทสี่ าํ คัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะสามารถสร้างสรรค์ให้ลูกเป็นผู้ประสบความสำ เร็จ มีความสามารถพิเศษ เป็นผู้มีชื่อเสียงก้องโลก เป็นจิตรกร เป็นนายกรัฐมนตรีที่สามารถนำ ประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้ หรือในทางตรงข้าม อาจทำ ลายสมองลูก ทำให้เป็นผู้ที่มีแต่ความล้มเหลว ไม่สามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขก็ได้

เทคโนโลยีใหม่ๆในการตรวจการทำ งานของสมองได้ให้ข้อมูลและยืนยันว่า ประสบการณ์การเลี้ยงดูมีผลต่อการเจริญเติบโตของสมอง การวิจัยในสัตว์ทดลองก็ยืนยันข้อมูลนี้เช่นกัน

สมองเด็กแรกคลอดจะมีเซลล์สมองอยู่ 1 แสนล้านเซลล์ แต่จะมีเครือข่ายเส้นใยสมองยื่นยาวออกจากเซลล์สมองที่เปรียบเสมือนแขนขาน้อยมาก สิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกมีการสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดชื่อมต่อขึ้นมากมาย และจะกระตุ้นให้สร้างไขมันล้อมรอบเส้นใยสมองเหล่านี้ด้วย

การที่มีเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อและไขมันล้อมรอบเส้นใยสมองอย่างมากมายนี้ จะทำ ให้ลูกมีความฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ข้อมูลทางวิทยาการยังค้นพบอีกว่าประสบการณ์ที่ลูกได้รับซํ้าๆ ก็จะทำ ให้เครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อนี้อยู่คงที่ แต่ถ้าประสบการณ์และการเรียนรู้ที่ลูกได้รับเพียงครั้งเดียวหรือไม่ได้รับเลยก็จะทำ ให้เครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อนี้สลายไป

สิ่งแวดล้อมหรือการเลี้ยงดูที่มีการสัมผัส มีความผูกพันใกล้ชิด มีความรัก ความอบอุ่น จะส่งเสริมพัฒนาการสมองลูก และในทางตรงข้ามการเลี้ยงดูที่ทำ ให้ลูกเกิดความเครียด ความกังวลหรือถูกทำร้าย ก็จะยับยั้งการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองลูก ทำ ให้ลูกไม่มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้และเป็นบุคคลที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากเพราะสมองลูกเกิดมาพร้อมที่จะเรียนรู้ พร้อมที่จะมีประสิทธิภาพ พร้อมที่จะฉลาด แต่ขาดปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น

สิ่งแวดล้อมยังมีส่วนช่วยให้ลูกเป็นคนดี ซื่อสัตย์ มีจริยธรรม มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีทัศนคติที่ดีต่อตนเองและผู้อื่นอีกด้วย

สิ่งแวดล้อมในที่นี้หมายถึงการเลี้ยงดูจากครอบครัว คือ พ่อแม่ ที่เป็นบุคคลสำ คัญที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับลูก สร้างให้ลูกมี อีคิว หรือ ความสามารถในการพัฒนาอารมณ์ เพราะบุคคลที่จะประสบความสำ เร็จในชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดทางวิชาการ หรือ ไอคิว เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีทักษะหรือความสามารถในการพัฒนาอารมณ์ หรือ อีคิว ด้วย

คุณลักษณะของ อีคิว คือ การรู้ตัว การประมาณตัวอย่างถูกต้อง รู้สภาพหรือสภาวะที่แท้จริงของตัวเอง และต้องมีความสามารถที่จะควบคุมอารมณ์ได้ เป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่ล้มเลิกอะไรง่ายๆ ไม่จับจด มีความกระตือรือร้น อยากจะประสบความสำ เร็จ ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนที่ชอบแข่งขัน รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นคนคล่อง มีทักษะหลายๆ อย่างเป็นคนที่มีระเบียบวินัยกับตัวเอง

พ่อแม่ต้องคำ นึงถึงคุณภาพของผู้เลี้ยงดูลูกซึ่งอาจเป็นพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือพี่เลี้ยง หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก คำนึงถึงการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของลูกให้สมบูรณ์แข็งแรง คำ นึงถึงการส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และความฉลาดของลูก ยกตัวอย่างเช่นตอบสนองต่อความต้องการของลูกอย่างถูกต้อง อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เล่นกับลูก มีการฝึกระเบียบวินัยให้ลูก เลือกรายการโทรทัศน์ให้ลูกดู และที่สำ คัญจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน

ขอบคุณบทความดีๆจาก จากรายงานการวิจัย เรื่อง "สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร" โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 รศ.พ.ญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์

โพสต์โดย W. Bond

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่) บทที่ 5-6

ฝึกลูกให้มีทักษะทางด้านภาษา (เสื้อผ้าเด็กขายส่ง macaroonies)


นักภาษาศาสตร์บอกว่าเสียงที่แม่พูดกับลูกตอนเล็กๆ มีผลอย่างมากต่อพัฒนาการทางภาษาของลูก เสียงสูงๆ ของแม่เวลาพูดหยอกเย้ากับลูกจะทำ ให้ลูกตั้งใจและสนใจฟัง การพูดช้าๆ ด้วยคำสั้นๆ จะช่วยให้ลูกเรียนรู้ภาษาได้ดี เพราะจะทำ ให้ลูกรู้ถึงความแตกต่างของคำ และโดยเฉพาะถ้าพูดซํ้าๆ ก็จะให้ผลดียิ่งขึ้น เช่น ถ้าเด็กพูดว่า "อุ๊ย นก นก" แม่ก็ต้องพูดว่า "ใช่แล้วลูก นก นก" เพื่อยํ้าให้ลูกเข้าใจว่าที่ลูกพูดนั้นถูกต้องแล้ว

พ่อแม่สามารถพัฒนาลูกเล็กให้มีทักษะทางภาษาได้ตลอดเวลาที่ดูแลใกล้ชิดเขา เช่น ในระหว่างป้อนอาหาร เปลี่ยนผ้าอ้อม แต่งตัว และพยายามให้ลูกสื่อสัมพันธ์กับเรา แม้ว่าลูกเล็กๆ ยังไม่เข้าใจภาษาที่พ่อแม่พูดก็ตาม แต่เสียงพูดของพ่อแม่จะทำ ให้สมองลูกพัฒนาโดยเฉพาะทางด้านภาษา

เมื่อลูกได้ยินเสียงพ่อแม่พูดซํ้าแล้วซํ้าเล่า สมองส่วนที่ดูแลเรื่องภาษาและคำ พูดจะพัฒนา ให้พยายามถามคำ ถามที่ลูกจะตอบได้กว้างๆ เพื่อที่จะส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา อย่างเช่น "นี่หนูคิดว่าหนูจะไปไหนหรือจ๊ะ" หรือว่า "หนูคิดว่าคุณยายจะพูดว่ายังไงคะ"

การอ่านหนังสือก็จะเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อสมาธิ ความจำ เพราะฉะนั้นการที่พ่อแม่พยายามพูดคุยสื่อสารกับลูกและการอ่านหนังสือให้ลูกฟังหรืออ่านหนังสือกับลูก จะเป็นการส่งเสริมพัฒนาการและเพิ่มทักษะทางด้านภาษาและการอ่าน ช่วยให้อ่านหนังสือได้เร็วและเข้าใจได้ดี

มีพ่อแม่บางคนเข้าใจผิด คิดว่าโทรทัศน์จะสอนให้ลูกพูดเก่งจากรายการโทรทัศน์ที่มีคนมาพูดเจื้อยแจ้วอยู่หน้าจอทั้งวัน แต่โทรทัศน์ไม่สามารถสอนภาษาให้ลูกได้ ไม่สามารถสอนให้ลูกรู้จักสื่อสารได้

ต่อไปนี้คือวิธีส่งเสริมลูกวัยต่างๆ ให้มีทักษะทางภาษาและการอ่าน

6 - 12 เดือน : เด็กจะชอบหนังสือเล่มใหญ่ๆ มีรูปภาพมากๆ มีรูปภาพที่เด็กคุ้นเคย เช่น ขวดนม ลูกบอล เด็กเล็กๆ ชอบเพลงและหนังสือภาพ

12 - 24 เดือน : เด็กจะชอบหนังสือที่มีภาพเด็กกำ ลังทำ สิ่งต่างๆ ที่เขาคุ้นเคย เช่น ภาพเด็กกำ ลังหลับ เด็กกำ ลังเล่นกับสัตว์เลี้ยง หนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องการ "สวัสดี" "ลาก่อน" หนังสือที่มีตัวหนังสือน้อยๆ ใช้คำ คล้องจองที่เด็กสามารถเดาคำ ต่อไปได้ พ่อแม่ควรจะเล่านิทานให้เด็กฟังทุกวันจนกว่าเด็กจะบอกหรือแสดงว่าไม่อยากฟังนิทานอีกแล้ว

2 - 3 ขวบ : เด็กจะชอบหนังสือที่เล่าเรื่องประสบการณ์ชีวิตประจำ วัน เช่น ไปโรงเรียน ไปหาหมอ โดยเฉพาะคำ ง่ายๆ ที่เด็กสามารถจะจำ หรืออ่านได้ เด็ก 2 ขวบส่วนใหญ่สามารถนั่งฟังได้นาน5 - 10 นาที การอ่านหนังสือจะช่วยฝึกให้เด็กมีสมาธิได้ดี บางครั้งอาจจะเป็นสิ่งน่าเบื่อสำ หรับพ่อแม่ที่ต้องเล่านิทานเรื่องเดิมซํ้าๆ เพราะเด็กมักจะชอบฟังนิทานเรื่องเดิมๆ ซํ้าแล้วซํ้าเล่าจนเดาได้ว่าคำต่อไปจะเป็นอะไร เมื่อเราเล่านิทานซํ้าๆ ก็ควรให้เด็กช่วยเล่าด้วย

ฝึกลูกให้เป็นจิตรกรและนักกีฬา



เด็กที่เดินเป็นเร็วไม่ได้หมายความว่าเด็กคนนั้นจะเป็นนักกีฬาที่ดีแต่นักกีฬาที่มีชื่อเสียงก้องโลกส่วนใหญ่เริ่มฝึกทักษะมาแต่เล็กแต่น้อยอย่างเช่น ไทเกอร์ วูด นักกอล์ฟผู้ยิ่งใหญ่ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เริ่มจับไม้กอล์ฟ หวดไม้กอล์ฟ ตั้งแต่อายุ 10 เดือน เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าอายุน้อยแค่ไหนที่จะเริ่มฝึกทักษะความสามารถต่างๆ ได้

แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่ยอมรับกันว่า ถ้าอายุเกิน 12 ปีไปแล้วโอกาสที่ลูกจะมีทักษะด้านต่างๆจนเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้เชี่ยวชาญคงเป็นไปได้ยาก เพราะทักษะในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กกล้ามเนื้อมัดใหญ่ต้องอาศัยการทำ งานของสมอง โดยเฉพาะการสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองและการสร้างไขมันหุ้มรอบเส้นใยสมองจะต้องอาศัยการขยับหรือเคลื่อนไหวซํ้าๆ การทำ ซํ้าๆ จะทำ ให้เครือข่ายเส้นใยสมองอยู่มั่นคงขึ้น ทำ ให้เกิดทักษะ สรุปได้ว่าสมองของเด็กวัย 2 - 11 ปี จะเป็นวัยที่จะฝึกให้มีความเชี่ยวชาญต่างๆ ได้ แต่หลังจากอายุ 11 - 12 ปีแล้วก็ยากที่จะฝึกให้ชำ นาญได้ แต่สิ่งสำ คัญที่สุดคือเด็กจะต้องมีความชอบและมีความสุขที่จะทำ สิ่งนั้น

ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของ เยา เช็ง มา ( Yeou-Cheng Ma) ซึ่งเริ่มฝึกไวโอลินเมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง โดยพ่อของเธอเป็นคนฝึกสอน เธอชนะเลิศไวโอลินสำ หรับเด็กวัยรุ่น น้องชายของเธอคือ โยโย(Yoyo) ก็เรียนเชลโลตั้งแต่อายุ 4 ขวบครึ่ง แต่ว่า เยา เช็ง มา หันหลังให้กับการเล่นไวโอลินเมื่ออายุ15 ปี เพราะไม่สามารถจะเป็นนักโซโลไวโอลินได้ เธอจึงเลิกเป็นนักดนตรี หันเป็นกุมารแพทย์แทนเธอไม่ได้เกลียดดนตรี เธอได้ตั้งวงดนตรีออร์เคสตร้าสำ หรับเด็กขึ้น เธอได้ให้ความเห็นว่าพ่อแม่ไม่ควรกดดันลูกมากนักในเรื่องของการฝึกทักษะหรือพรสวรรค์ด้านนี้ หน้าที่ของเด็กคือเล่น เด็กจะต้องมีเวลาเล่นสนุกสนาน ถ้าหากถูกกดดันมากเกินไป เด็กก็จะไม่มีความสุขที่จะฝึกทักษะนั้นๆ

สรุป

นอกเหนือจากแนวทางในการพัฒนาลูกในช่วง 3 ปีแรกของชีวิต และการส่งเสริมพัฒนาการลูกตามวัยแล้ว พ่อแม่ยังควรรู้จักแนวทางในการเลี้ยงดูลูกสำ หรับโลกยุคใหม่ที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมากมาย เพื่อพัฒนาลูกให้มีความสามารถรับมือกับสิ่งแวดล้อมนั้นได้

ในโลกสมัยใหม่นั้นการเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนฉลาดเป็นคนเก่งอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอ ลูกจะต้องมีคุณสมบัติด้านอื่นๆ ด้วย ต้องมีทักษะชีวิต รู้จักคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ข่าวสาร รู้จักแก้ปัญหามีความรับผิดชอบ เป็นคนมองโลกในแง่ดี สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี และที่สำ คัญจะต้องมีจริยธรรม หรืออาจกล่าวได้ว่าพ่อแม่ยุคใหม่จะต้องเลี้ยงลูกให้เป็นทั้งคนเก่ง คนดี มีความสุข ลูกจึงประสบความสำ เร็จในชีวิต

แนวทางการเลี้ยงลูกยุคใหม่ที่หยิบยกมาเป็นแนวทางให้พ่อแม่ ที่กล่าวถึงกันมาก คือ การเลี้ยงลูกให้มี อีคิว หรือมีความสามารถในการพัฒนาทางอารมณ์ นอกจากนี้ยังมีเทคนิควิธีที่จะเลี้ยงดูลูกให้ประสบความสำ เร็จในชีวิต อย่างเช่น เลี้ยงลูกให้มีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง เลี้ยงลูกให้เป็นตัวของตัวเอง การฝึกลูกให้มีระเบียบวินัย การส่งเสริมลูกให้เป็นคนดี มีจริยธรรม ซื่อสัตย์ และรู้จักรับผิดชอบ

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อมูลความรู้ที่จะช่วยให้พ่อแม่และคนในครอบครัวได้นำ ไปพัฒนาลูกหลานให้เติบโตเป็นคนที่ประสบความสำ เร็จในชีวิต และเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม สามารถสร้างสรรค์สังคมนี้ให้น่าอยู่และเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต

ขอบคุณบทความดีๆจาก จากรายงานการวิจัย เรื่อง "สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร" โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 รศ.พ.ญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์

โพสต์โดย W. Bond

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่) บทที่ 5-5


ส่งเสริมลูกให้เป็นคนดี มีจริยธรรม ซื่อสัตย์ รู้จักรับผิดชอบ ( เสื้อผ้าเด็กขายส่ง macaroonies)


พ่อแม่สามารถปลูกฝังให้ลูกเป็นคนมีจริยธรรมได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่ไม่ใช่ด้วยการพูดสั่งสอนเพราะลูกยังไม่รู้เรื่อง แต่ลูกจะซึมซับจากสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำ วันแต่ละวัน และจากการกระทำ ของพ่อแม่ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ก็ต้องทำ ตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี (เสื้อผ้าเด็ก)

บางครั้งพ่อแม่ก็สอนเรื่องจริยธรรมให้กับลูกโดยไม่รู้ตัว เช่น แม่คนหนึ่งสังเกตว่าลูกวัย 6เดือนของเธอพอกินนมเสร็จก็จะขว้างขวดนมทิ้ง แรกๆ แม่คิดว่าลูกยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ หรือไม่แต่หลังจากนั้นแม่ก็เริ่มรู้สึกว่าลูกกำ ลังสนุกกับการโยนของทิ้ง แม่จึงหาวิธีแก้ไขด้วยการพยายามเล่นกับลูก เบี่ยงเบนความสนใจเมื่อลูกกินนมเสร็จ เอาของเล่นอย่างอื่นให้ แล้วค่อยเก็บขวดนมเปล่าออกไป เจ้าหนูก็หมดความสนใจที่จะขว้างขวดนมอีกต่อไป สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เองเป็นการสอนระเบียบวินัย จริยธรรม การแยกแยะสิ่งดีไม่ดีให้กับลูก

ในตอนที่ลูกยังเล็กนั้น ลูกจะมีแต่ความเห็นแก่ตัวก่อนหรือนึกถึงแต่ตัวเองก่อน และคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการเป็นสิ่งถูกต้อง อย่างเช่น เขาควรจะได้เค้กวันเกิดเยอะๆ เพราะว่าเขาชอบ ซึ่งพ่อแม่สามารถช่วยพัฒนาเรื่องจริยธรรมให้เกิดขึ้นได้ ด้วยการสอนลูกให้มีสัมพันธภาพที่ดีกับเด็กอื่น เช่นถ้าหากว่าไปแย่งของเล่นคนอื่น ก็ต้องสอนเด็กว่า "ถ้าคนอื่นเขามาแย่งของเล่นหนูไป หนูจะโกรธไหม"หรือ "อย่าไปตีพี่เขานะเพราะว่าแม่ไม่อยากให้พี่เขาเจ็บ ไม่อยากให้หนูไปทำ ร้ายพี่เขา" ขณะเดียวกันก็ต้องสอนให้ลูกมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เช่น "เห็นมั้ยพี่เขาเจ็บแค่ไหนหนูไปตีพี่เขา" อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าหากลูกมีความรู้สึกที่ดีหรือใส่ใจความรู้สึกผู้อื่น พ่อแม่ก็ต้องชมเชยให้ลูกรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนี้เป็นสิ่งที่ดี อย่างเช่น ถ้าเขาให้น้องอ่านหนังสือของเขาก็ต้องชมเชยว่า "แหมหนูน่ารักจังเลย ให้น้องอ่านหนังสือของหนู" หรือ "หนูน่ารักจังเลยที่ช่วยน้อง"

จะเห็นว่าเด็กเล็กๆ ก็สามารถจะแสดงความเป็นห่วง แสดงความเห็นใจ เข้าใจความรู้สึกคนอื่น เช่น ถ้าเด็กเห็นแม่โกรธ ก็จะยื่นขวดนมมาให้เพื่อจะให้แม่หายโกรธ พออายุ 3 - 4 ขวบขึ้นไป เด็กจะเริ่มแสดงออกถึงความรู้สึกห่วงใยคนอื่นได้มากขึ้น เช่น ถ้ารู้ว่าแม่หิวเขาก็จะไปหาของกินมาให้แม่กิน เป็นต้น

การฝึกระเบียบวินัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะส่งเสริมลูกให้พัฒนาในเรื่องของจริยธรรม ในวัยที่ลูกเริ่มคลาน เริ่มเดิน เริ่มออกเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกกว้าง ลูกพยายามที่จะทดสอบขอบเขตของโลกใหม่ของเขาตลอดเวลา ซึ่งเราเรียกว่า ลูกพยายามที่จะเรียนรู้กฎเกณฑ์ของสังคม พ่อแม่ควรจะเข้ามาชี้แนะสิ่งที่ถูกที่ควรให้ลูกตั้งแต่วัยนี้

กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พ่อแม่สอนลูกจะช่วยให้ลูกมีจริยธรรม รู้จักควบคุมความต้องการของตัวเอง รู้จักยับยั้งชั่งใจ มีความภูมิใจในตัวเองถ้าทำ สิ่งที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันถ้าทำ ผิดก็จะมีความละอายเพราะทำ สิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่ ความละอายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตเป็นคนรู้จักผิดชอบชั่วดี อย่างเช่น ถ้าลูกรังแกสัตว์เลี้ยงในบ้านซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ พ่อแม่ก็จะต้องสอนให้ลูกรู้ว่าการกระทำ นั้นเป็นสิ่งที่น่าละอาย เป็นสิ่งไม่ดี ถ้าลูกไม่เกิดความรู้สึกละอาย จะมีปัญหามากขึ้นเมื่อลูกอายุ 2 - 3 ปีขึ้นไป แต่ก็ควรระวังไม่ให้ลูกกังวลว่าแม่หรือพ่อจะไม่รักเขาเมื่อเขาทำ อะไรผิดเพราะฉะนั้นผู้ใหญ่จะต้องแยกความรู้สึกนี้ให้ได้ จะต้องแสดงให้เด็กเห็นความแตกต่าง เช่น "แม่รักหนู แต่แม่ไม่ชอบที่หนูโยนของทิ้ง" เป็นต้น

เมื่อลูกเริ่มหัดพูด พ่อแม่สามารถสอนลูกให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสม มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีมารยาท อย่างเช่น "ไหนลองพูดขอบคุณซิคะ" พร้อมกับพ่อแม่ต้องทำ ตัวเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย ลูกก็จะเรียนรู้พฤติกรรมที่ถูกต้อง ได้ผลดีกว่าสั่งให้ลูกพูดโดยไม่ทำ ตัวเป็นตัวอย่าง และควรเริ่มสอนลูกตั้งแต่เล็กๆ ลูก 2 ขวบก็สามารถจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้ดี

ลูกเรียนรู้เรื่องจริยธรรมตลอดเวลาแม้กระทั่งจากการพูดจาของคนในบ้าน ลูกจะได้แบบอย่างจากพ่อแม่ ลองคิดดูซิว่าจะมีผลต่อลูกอย่างไร ถ้าพ่อไม่อยากรับโทรศัพท์แล้วให้ลูกบอกว่าพ่อไม่อยู่ ทำ ให้ลูกได้เรียนรู้การโกหก เขาจะเลียนแบบ หรือถ้าพ่อพูดกับแม่ว่า "ขอบคุณนะครับที่ช่วย" หรือ

แม่บอกพ่อด้วยคำ พูดแบบเดียวกัน เด็กน้อยก็จะเลียนแบบเช่นกัน พ่อแม่ควรนึกอยู่เสมอว่าลูกเรียนรู้เรื่องจริยธรรมจากพ่อแม่ในการใช้ชีวิตประจำ วันทุกเวลานาที

ต่อไปนี้เป็นวิธีเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี มีจริยธรรม ซื่อสัตย์ รู้จักรับผิดชอบ

1. จะต้องตอบสนองความต้องการของลูก ให้ลูกมีความสบาย ต้องให้ความสนใจกับลูก รับฟังลูกและให้สิ่งกระตุ้นที่ถูกต้อง ลูกจึงจะให้ความร่วมมือด้วยดี

2. ควรตั้งกฏระเบียบสำ หรับลูกตั้งแต่วัย 2 - 3 ขวบ แต่จะต้องมีเหตุผลที่ดี ต้องยุติธรรม และจะต้องเอาจริงกับกฎที่สำ คัญซึ่งอาจทำ ให้เกิดอันตรายกับลูก เช่น ห้ามลูกเล่นไม้ขีด ข้อห้ามเช่นนี้จะต้องห้ามลูกทำ อย่างเด็ดขาด

3. สอนให้ลูกรู้จักขอโทษและให้โอกาสแก้ตัวที่จะทำ สิ่งที่ถูกต้อง และแทนที่จะสอนถึงความซื่อสัตย์ด้วยปากเปล่า พ่อแม่ควรทำ ตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็นด้วย
4. สอนให้ลูกเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น พยายามสนใจกับความรู้สึกของลูก และให้ลูกรู้จักสนใจหรือเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น
5. พ่อแม่เป็นตัวอย่างในเรื่องของการสงบสติอารมณ์ไม่โวยวายเมื่อเกิดความเครียด
6. สอนให้ลูกเรียนรู้ว่าผลของการกระทำ ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เช่น ถ้าหากลูกขว้างของบ่อยๆ ก็ต้องบอกว่า "ถ้าหนูขว้างของบ่อยๆ มันจะแตก หนูก็จะไม่มีเล่นอีกแล้ว"
7. ที่สำคัญที่สุดจะต้องทำ ให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่รักเขา

ขอบคุณบทความดีๆจาก จากรายงานการวิจัย เรื่อง "สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร" โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 รศ.พ.ญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์

โพสต์โดย W. Bond

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่) บทที่ 5-4


เลี้ยงลูกให้เป็นตัวของตัวเอง (เสื้อผ้าเด็กขายส่ง macaroonies)


เด็กเล็กๆ ในช่วงขวบปีแรกยังต้องพึ่งผู้ใหญ่อยู่ เช่น จะต้องมีคนอุ้ม มีคนป้อนอาหารอาบนํ้าให้ จะต้องมีคนดูแลให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย แต่ยิ่งโตขึ้นลูกยิ่งต้องการพึ่งพาพ่อแม่น้อยลง

เมื่อถึงวัย 2 - 3 ขวบ ลูกจะเป็นนักผจญภัยมากขึ้น อยากออกไปสำ รวจโลกกว้าง แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้พ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ด้วย ลูกจึงจะกล้าออกไปผจญภัยหรือเดินสำ รวจไปในที่ต่างๆ ด้วยความรู้สึกว่าปลอดภัย ความมั่นใจนี้จะนำ ไปสู่การเป็นคนที่รู้สึกเป็นอิสระ มั่นใจในตัวเอง จริงๆแล้วลูกจะต้องการความเป็นอิสระและการพึ่งพาผู้ใหญ่สลับไปสลับมาตลอดเวลา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเติบโตของลูก เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตของคนเรา

พ่อแม่หลายคนคิดว่าการชมเชยลูกมากๆ จะช่วยให้ลูกมีความมั่นใจในตัวเอง จริงๆ แล้วการชมเชยอย่างเดียวจะไม่ได้ผลเต็มที่ แต่เด็กจะต้องมีความรู้สึกว่าเขาได้ทำ อะไรสำ เร็จด้วย จึงจะทำ ให้เด็กรู้สึกดีกับตัวเองและเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง

พ่อแม่อาจจะสงสัยว่า ในเมื่อเราตอบสนองความต้องการของลูกทุกครั้งที่ลูกต้องการซึ่งทำ ให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา แล้วลูกจะไม่เป็นคนที่ติดพ่อแม่หรือไม่เป็นลูกแหง่หรอกหรือลูกจะแยกตัวออกมาเป็นตัวของตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไร

ข้อนี้ให้จำ ไว้ว่าการที่เราตอบสนองความต้องการของลูกไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำ ทุกอย่างให้ลูกหรือยอมให้ลูกทำ ทุกอย่างตามใจชอบ เช่น เรารู้ว่าลูกง่วงและถึงเวลานอนแล้ว เราก็จะต้องให้ลูกไปนอนแม้ว่าลูกยังอยากเล่นอยู่ก็ตาม คือ ตอบสนองตามความต้องการของเด็กได้ถูกต้องแต่ไม่ได้ตามใจ

เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน บางคนค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยชอบสังคมเหมือนเด็กอื่น เด็กบางคนโกรธง่าย หงุดหงิดง่าย ในฐานะพ่อแม่เราจะต้องช่วยให้เด็กขี้อาย เงียบ ให้ออกไปเข้าสังคมมากขึ้น แต่ไม่ใช้วิธีเคี่ยวเข็ญผลักดันมากไป สิ่งสำ คัญคือผู้ใหญ่ต้องยอมรับว่าเด็กเป็นอย่างนี้เองและช่วยส่งเสริมให้เด็กดีขึ้น แทนที่จะคาดหวังว่าเด็กในวัยนี้ควรจะเลิกพึ่งพาพ่อแม่ ควรจะเป็นตัวของตัวเองเสียที

ฝึกลูกให้มีระเบียบวินัย (เสื้อผ้าเด็ก macaroonies)


การฝึกระเบียบวินัยเป็นสิ่งสำ คัญมากต่อพัฒนาการของลูกในอนาคต เป็นพื้นฐานให้ลูกรู้จักขอบเขตที่เหมาะที่ควร รู้จักควบคุมตัวเอง และเป็นคนมีจริยธรรม การตอบสนองลูกทุกเรื่องทุกครั้งไม่ใช่สิ่งดี เพราะลูกจะเรียนรู้ว่าเขาจะได้รับการตอบสนองทุกครั้งที่เขาต้องการ ลูกจะไม่ได้เรียนรู้การปฏิเสธ จะทำ ให้ลูกนิสัยไม่ดีและเป็นคนที่มีความต้องการมาก เอาแต่ใจตัวเอง ไม่มีระเบียบวินัย

ลูกควรจะเรียนรู้ว่ามีกฎเกณฑ์และจะต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ซึ่งพ่อแม่จะต้องสอนไม่ใช่ด้วยการทำโทษ และอย่าคาดหวังว่าเด็กเล็กๆ จะทำ ทุกอย่างที่เราสั่ง ปกติแล้วเด็กเล็กๆ ไม่มีความอดทน ถ้าไม่พอใจก็จะแสดงออก จะตี ตะโกน หรือแสดงความโกรธออกมา เด็กยังไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

การจะสอนให้เด็กรู้จักควบคุมตัวเองเป็นกระบวนการระยะยาวที่ไม่ได้สำ เร็จภายในวันเดียวและเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะทดสอบกฎเกณฑ์ด้วยการฝ่าฝืนกฎระเบียบ ถ้าพ่อแม่เข้าใจและตอบสนองอย่างเหมาะสมโดยสมํ่าเสมอ ก็จะทำ ให้เด็กมีความรู้สึกว่าเขาอยู่ในโลกนี้อย่างปลอดภัย

โดยทั่วไปแล้วการกำ หนดขอบเขต การตั้งกฎเกณฑ์ ถ้าทำ ด้วยความตั้งใจที่ดีว่าเพื่อช่วยสอนลูก ก็จะได้ผลดีกว่าการตั้งกฎระเบียบเพื่อทำ โทษลูก อธิบายเหตุผลให้ลูกฟังว่าทำ ไมจะต้องให้ทำอะไรในเวลานั้น เช่น "แม่รู้ว่าหนูกำ ลังสนุกมากที่นี่ แต่ถึงเวลาที่เราจะต้องกลับแล้วนะคะ" หรือพยายามเปลี่ยนความสนใจของลูกหรือกิจกรรมที่ลูกกำ ลังทำ อยู่ด้วยคำ พูดในแง่บวก เช่น "หนูเขียนที่ข้างฝาไม่ได้นะคะ นี่กระดาษ หนูวาดบนกระดาษดีกว่า วาดบนกระดาษสวยกว่าวาดบนฝาผนัง" หรือถ้าจะห้ามลูกไม่ให้ทำ อะไรก็ต้องแสดงออกด้วยว่าทำ ด้วยความรัก อย่างเช่น "แม่รักหนูนะจ๊ะ แต่ไม่ชอบที่หนูกำ ลังทำ อยู่" และให้เหตุผลด้วย อย่างเช่น "หนูอย่าวิ่งขณะที่ถือกรรไกรอยู่ ถ้าล้มกรรไกรจะทิ่มเอานะ"

ถ้าหากต้องการให้ลูกทำ อะไรก็ใช้คำ สั่งที่สั้นๆ ชัดเจน เข้าใจง่าย อย่างเช่น "หนูเก็บพวกตุ๊กตาสัตว์ให้หมดทุกตัว" แทนที่จะบอกว่า "ไปทำ ความสะอาดห้อง" หรือให้เด็กเข้าใจว่าเราเข้าใจความรู้สึกของเขา แต่ก็ต้องมีขีดจำ กัด เช่น "แม่รู้ว่าหนูหิวมากแต่ก็ยังกลับไม่ได้" หรือแสดงให้ลูกเห็นว่าพฤติกรรมของเขามีผลต่อคนอื่น อย่างเช่น "น้องหนูเขาโกรธที่หนูไปหยิกเขา เห็นมั้ย ถ้าเผื่อเขาหยิกหนูบ้างหนูจะรู้สึกอย่างไร" ช่วยให้เด็กใช้คำ พูดที่จะสื่อสารแสดงออกถึงความรู้สึกของเขา เช่น "ลองบอกพี่หนูสิว่าหนูไม่ชอบนะที่พี่มาตีหนูแบบนี้" ถ้าหากเด็กทำ ดีก็ต้องชม เช่น "หนูน่ารักมากที่เก็บตุ๊กตาเสียเรียบร้อย ขอบคุณนะคะที่ช่วย"

ไม่ควรใช้การตีหรือเขย่าลูกเวลาทำ โทษ เพราะจากการวิจัยพบว่าการทำ โทษหรือการฝึกระเบียบวินัยด้วยการทำ โทษวิธีนี้จะมีผลในทางลบมากกว่า การฝึกระเบียบวินัย คือ การเรียนรู้ แต่ถ้าใช้วิธีตีหรือเขย่าด้วยความโกรธ ลูกจะเรียนรู้ว่านี่คือความกลัว คือความอาย ความดุร้าย และลูกจะรู้สึกว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ลูกจะเรียนรู้ว่าเขาก็สามารถทำ รุนแรงได้เช่นกัน ถ้าหากผู้ปกครอง พ่อแม่ หรือคนเลี้ยงโกรธมากๆ ก็ต้องเดินออกไปจากที่นั้น นับ 1 - 10 หรือคุยกับเพื่อนหรือญาติหลังจากอารมณ์สงบลงแล้วจึงค่อยมาคุยกับลูก เวลาจะตาํ หนหิ รอื ทำ โทษจะต้องพดู ถงึ พฤติกรรมของลูก ไม่ว่าลูกเป็นคนไม่ดี แต่ต้องอธิบายว่าพฤติกรรมที่ลูกทำ นั้นมีผลเสียอย่างไร

การฝึกระเบียบวินัยให้ลูกมักจะทำ ให้ลูกโกรธ เพราะว่าลูกไม่สามารถทำ อะไรตามใจตัวเองได้ พ่อแม่จะต้องคำ นึงถึงความจริงข้อนี้ และจะต้องพยายามรักษาสัมพันธภาพที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูกไว้ เพื่อลูกจะได้รู้สึกว่าพ่อแม่ยังรัก ให้ความอบอุ่นเขา เมื่อไรที่พ่อแม่รู้สึกว่าตัวเองทำ เกินกว่าเหตุกับลูก ก็ควรขอโทษลูก

มีการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องการฝึกระเบียบวินัยในเด็กว่าการตีเป็นสิ่งสมควรหรือไม่ ถ้าไม่ตีจะให้ทำ อย่างไร มีหลายความเห็น ฝ่ายหนึ่งบอกว่าถ้าตีจะทำ ให้เด็กฝันร้ายและเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเป็นคนไม่แคร์ใคร แต่ถ้าหากไม่ตีไม่สอน ลูกจะมีนิสัยไม่ดี

นักจิตวิทยาบอกว่า การตีเป็นสิ่งที่ทำ ให้ลูกเชื่อฟังและได้ผลเร็ว แต่จะก่อให้เกิดความโกรธและความกลัว จากการวิจัยพบว่า เด็กที่ถูกตีตั้งแต่ก่อน 1 ขวบ เมื่ออายุ 4 ปีเด็กคนนั้นก็ยังต้องถูกตีอีก แสดงว่าการตีไม่ได้ทำ ให้เด็กหลาบจำ

อีกวิธีหนึ่งก็คือ ถ้าหากลูกทำ ผิด ให้จับลูกมานั่งตักนิ่งๆ สักพักหนึ่ง 1 - 2 นาที แล้วก็ปล่อยและอธิบายให้ฟังว่าเขาทำ ผิดอะไร

ขอบคุณบทความดีๆจาก จากรายงานการวิจัย เรื่อง "สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร" โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 รศ.พ.ญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์

โพสต์โดย W. Bond

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่) บทที่ 5-3


ส่งเสริมพัฒนาการทางสังคม (เสื้อผ้าเด็กขายส่ง macaroonies)



ลูกจะเริ่มรู้จักเล่นกับคนอื่นเมื่ออายุราว 2 ขวบ ในวัยนี้ลูกเริ่มรู้จักแบ่งของเล่น และรู้สึกสนุกที่จะเล่นกับคนอื่น การเล่นนี้จะเป็นในลักษณะเลียนแบบซึ่งกันและกัน คือ ถ้าใครคนหนึ่งเล่นปรบมือทุกคนก็จะปรบมือ 

เมื่อลูกอายุ 3 ขวบก็จะเริ่มเล่นกับเพื่อนอย่างมีความสุขได้ บางครั้งอาจจะเกิดการแย่งของเล่นกันบ้าง แต่ในที่สุดลูกจะเรียนรู้ถึงการแก้ไขปัญหาร่วมกัน พ่อแม่ที่มีลูกวัยนี้ควรเตรียมของเล่นให้เพียงพอเมื่อมีเด็กคนอื่นมาเล่นกับลูกด้วย บางครั้งอาจจะต้องมีของเล่นแบบเดียวกัน 2 ชุดเพื่อเด็กจะได้ไม่แย่งกัน ทำ ให้ลูกรู้จักสร้างสัมพันธภาพกับเพื่อน

การที่จะช่วยให้เด็กเล่นกันนั้น บางครั้งอายุที่แตกต่างกันจะไม่มีความสำ คัญมากนัก เมื่อเทียบกับลักษณะบุคลิกของเด็กที่จะเล่นด้วยกัน ถ้าเด็กบางคนชอบเป็นผู้นำ และเล่นกับเด็กที่เป็นผู้ตามก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเด็กแต่ละคนต่างมีลักษณะเป็นผู้นำ ก็จะทำ ให้เกิดปัญหาได้ถ้าเขาเล่นด้วยกัน

สิ่งสุดท้ายที่เป็นสิ่งสำ คัญที่จะช่วยสร้างสัมพันธภาพกับเพื่อนก็คือทัศนคติของพ่อแม่ การที่เด็กคนหนึ่งเอาขวดนมให้กับเพื่อนที่มาเล่นด้วย แสดงให้เห็นว่าในสมองของเด็กที่เกิดมามีส่วนของพัฒนาการที่เกี่ยวกับความรู้สึกเห็นใจผู้อื่น ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่แล้ว รวมทั้งทัศนคติของพ่อแม่ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราสอนลูกเราให้นึกถึงแต่ตัวเอง ให้นึกถึงว่าตัวเราจะได้อะไร จะเป็นผลเสียต่อการสร้างสัมพันธภาพกับเพื่อน

เลี้ยงลูกให้มีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง


ปัญหาความก้าวร้าวรุนแรงทั้งหลายของวัยรุ่น การฆ่าตัวตาย เด็กสาวท้องก่อนวัย เป็นปัญหาที่กำ ลังเกิดขึ้นกับเด็กยุคใหม่ สาเหตุที่สำ คัญคือเด็กมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีใครรัก ไม่มีใครต้องการ ไม่เป็นที่ยอมรับในครอบครัวหรือสังคม

2 - 3 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงสำ คัญมากที่พ่อแม่จะสร้างทัศนคติที่ดีต่อตัวเองให้กับลูก ดังตัวอย่างการตอบสนองของแม่ต่อลูกในลักษณะที่แตกต่างกัน แม่ที่ตอบสนองลูกด้วยความรัก เอาใจใส่อบอุ่น จะทำ ให้ลูกมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองมีความสำ คัญ มีค่า ตรงข้ามกับเด็กที่แม่ตอบสนองอย่างไม่ไยดี ไม่ให้การดูแลอย่างอบอุ่นเท่าที่ควร จะทำ ให้ลูกรู้สึกไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมายกับใคร

ปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างแม่ลูกก็สำ คัญ เด็กเล็กแรกคลอด เสียงเบาๆ ของแม่จะทำ ให้เด็กสงบลง เด็ก 2 - 3 สัปดาห์จะเริ่มยิ้ม ถ้าหากว่ายิ้มแล้วมีคนยิ้มตอบ หรือเด็กส่งเสียงแล้วมีคนส่งเสียงตอบก็จะเริ่มมีปฏิกิริยาโต้ตอบกัน เล่นกัน ปฏิกิริยาเหล่านี้จะเป็นเชื้อเพลิงที่จะกระตุ้นให้สมองลูกพัฒนาไปทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางกล้ามเนื้อ ความฉลาด หรือพัฒนาการทางอารมณ์ ซึ่งจะทำ ให้ลูกเกิดความรู้สึกว่าตัวเองมีความสำ คัญ เกิดความรู้สึกไว้ใจโลกนี้และอนาคต

บางทีพ่อแม่อาจจะสงสัยว่า แล้วการที่ลูกชอบยั่วให้พ่อแม่โกรธล่ะ เป็นปฏิกิริยาแบบไหนพฤติกรรมแบบนี้เป็นวิธีที่ลูกพยายามพิสูจน์ว่าโลกนี้เป็นของเขา เขาสามารถจัดการได้ พัฒนาการแต่ละขั้นตอนจะเป็นส่วนกระตุ้นให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เช่น เมื่อลูกพยายามจะเดินหรือเริ่มฝึกการขับถ่าย เริ่มอ่าน หรือเริ่มมีความคิดต่างๆ ความช่วยเหลือ ปฏิกิริยาของพ่อแม่จะเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำ ให้เด็กเป็นตัวของตัวเองและมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง

ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำ ให้พัฒนาการทางด้านนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ คือปัจจัยภายใน อย่างเช่น ถ้าเด็กรู้ว่าตัวเองคลานได้ เดินได้ ครั้งแรกที่ทำ อะไรได้ ลูกจะทำ ท่าพออกพอใจเสียเหลือเกิน ราวจะอวดว่า "เห็นมั้ย ฉันทำ ได้ ฉันเก่งมั้ย" ประสบการณ์นี้เองจะส่งข้อมูลกลับเข้าไปในตัวลูกทำ ให้ลูกมีทัศนคติที่ดีกับตัวเองว่าเขามีความสามารถ นำ ไปสู่ความมั่นใจ ในความคิดของเด็กเล็กจะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองได้ครองโลกนี้ นี่เองจะเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กพยายามที่จะมีพัฒนาการขั้นต่อไปเพื่อจะได้ค้นพบว่าตัวเองทำ อะไรได้บ้างและส่งข้อมูลกลับเข้าไปในตัวอีก

นายแพทย์บราเซลตัน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาการเด็ก ได้จัดทำ แบบทดสอบที่จะตรวจดูพฤติกรรมของเด็กแรกคลอด ซึ่งจะทำ ให้พ่อแม่เข้าใจว่าพฤติกรรมต่างๆ ของเด็กหมายความว่าอย่างไร ตรวจดูทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง ความรู้สึกว่าตัวเองทำ ได้ ความคาดหวังว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก คุณหมอบราเซลตันบอกว่า เขาสามารถตรวจสอบเด็กอายุ 8 เดือนแล้วบอกได้ว่าเด็กคนนี้จะประสบความสำ เร็จหรือไม่ในอนาคต เช่น เอาบล็อกไม้สี่เหลี่ยม 2 อันมาชนกันให้เด็กดู แล้วดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น เด็กที่จะประสบความสำ เร็จก็จะแกล้งปล่อยบล็อกอันหนึ่งลงไป แล้วจะดูว่าคุณหมอจะเก็บบล็อกขึ้นมาหรือไม่ หลังจากหยิบขึ้นมาให้เด็กเด็กก็จะทิ้งบล็อกอีกอันหนึ่ง แล้วดูอีกว่าจะเก็บขึ้นมาให้อีกไหม แล้วคุณหมอจะบอกให้เด็กเอาไม้บล็อก 2 อันมาชนกันเหมือนที่คุณหมอทำ ให้ดู เด็กก็จะเอาบล็อกไม้มาตีกัน มาชนกัน แล้วมองหน้าผู้ใหญ่เหมือนจะบอกว่า "เห็นมั้ย ทำ ได้แล้ว" ซึ่งเป็นท่าทางที่บ่งบอกว่า เด็กคนนี้มีความคาดหวังว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จในอนาคต

อย่างไรก็ตาม สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำ คัญมากที่จะช่วยให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่ทำ ให้คนเราประสบความสำ เร็จทั้งการเรียนและอนาคต ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีเช่น ถูกทอดทิ้ง ถูกทำ ร้าย หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่หดหู่ซึมเศร้า เด็กจะเป็นคนขึ้โมโห ซึมเศร้าเป็นคนไม่มีความหวังตั้งแต่อายุเพียง 2 - 3 ขวบ อย่างไรก็ตามเด็กก็ยังมีโอกาสดีขึ้นได้ แต่ถ้าปล่อยให้โตมากเท่าไรก็ยิ่งแก้ไขยากขึ้นเท่านั้น

เพราะฉะนั้นจะรอช้าไม่ได้ พ่อแม่จะต้องเข้าใจเรื่องการสร้างทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง และพยายามช่วยให้ลูกรู้สึกดีกับตัวเอง เช่น เมื่อไรที่ลูกสามารถทำ สิ่งต่างๆ ได้แม้เป็นสิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำ วัน พ่อแม่ควรจะชมเชยลูก "โอ้โฮ ขึ้นบันไดได้เองหรือนี่ เก่งจังเลย" พ่อแม่ที่ช่างสังเกตและมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ถูกต้องเหมาะสมกับพฤติกรรมของลูก ลูกจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเอง

ขอบคุณบทความดีๆจาก จากรายงานการวิจัย เรื่อง "สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร" โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 รศ.พ.ญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์

โพสต์โดย W. Bond

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่) บทที่ 5-2



เทคนิคการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข


เทคนิคการเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุขดังที่พ่อแม่หวังนั้น เริ่มแรกพ่อแม่จะต้องส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการขั้นพื้นฐานที่ดีเสียก่อน นั่นคือมีพัฒนาการดีทั้งด้านกาย ใจ สติปัญญา อารมณ์ และสังคม(เสื้อผ้าเด็กขายส่ง macaroonies)

ส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย


แน่นอนที่สุด สิ่งสำ คัญอย่างแรกที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ คือ สุขภาพที่ดีและความปลอดภัยของลูกลูกจะต้องได้รับประทานอาหารที่จำ เป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะในช่วงแรกเริ่มของชีวิต ถ้าลูกได้กินนมแม่จะดีที่สุด เนื่องจากอาหารเป็นพลังงานของสมอง เพราะฉะนั้นควรรับประทานอาหารให้ถูกวิธี ให้ได้คุณค่าครบถ้วน และรับประทานให้หลากหลายชนิดทั้งอาหารประเภทแป้ง เนื้อสัตว ์ ไขมัน ผักและผลไม ้ อาหารประเภทถ่วั และธัญพชื ซงึ่ใหผ้ ลดตี อ่ สมองทั้งสิ้น โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งเนือ้ ปลา ไขมนั จากปลาจะดีที่สุดต่อจากนั้นลูกจะต้องปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยให้ลูกได้รับการตรวจอย่างสมํ่าเสมอจากกุมารแพทย์ และได้รับวัคซีนครบตามกำ หนด ถ้าไม่สบายต้องพาไปพบแพทย์เพื่อทำ การรักษาโดยเร็ว

ที่สำคัญต้องดูแลลูกให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย ไม่เกิดอันตราย เช่น ตกเตียง ตกจากที่สูง หรือได้รับความกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ ฯลฯ นอกจากนี้ก็ต้องให้ลูกได้มีโอกาสออกกำ ลังกายสมํ่าเสมอด้วย จะมีผลให้เลือดไปเลี้ยงร่างกายและสมองได้ดี การออกกำ ลังกายจะทำ ให้สมองได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ โดยทั่วไปแล้วสมองหนักแค่ร้อยละ 2 - 3 ของนํ้าหนักตัว แต่สมองใช้ออกซิเจนถึงร้อยละ 40 - 50 ของออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไป และการออกกำ ลังกายยังช่วยคลายเครียดได้ด้วย

สมองที่จะตื่นตัวเต็มที่ในการที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ ความจำ ดี ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วยเช่น การนอนหลับและพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าหากว่าไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ สมองก็จะพักผ่อนเองโดยอัตโนมัติ ทำ ให้ไม่มีสมาธิ หรืออาจจะเบลอ ความคิดไม่โลดแล่น ลดความสนใจในกิจกรรมตรงหน้า รวมทั้งเกิดความเครียดอาจถึงกับเสียสติก็ได้

ส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์และความฉลาด


อารมณ์ที่ดีและความฉลาดของลูกสามารถเกิดขึ้นได้จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ตั้งแต่ในช่วง 3ปีแรกของชีวิตลูกหลังคลอด จากการโอบอุ้มของแม่ จากการมองสบตาขณะให้นมลูก ในช่วงเวลาเหล่านี้มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย สิ่งสำ คัญที่สุด พื้นฐานที่สุด คือ พ่อแม่จะต้องให้ความรัก พูดคุยกับลูก อ่านหนังสือให้ลูกฟัง ช่วงเวลา 3 ปีแรกนี้เราสามารถจะช่วยสร้างสมองที่ดีที่จะอยู่กับลูกไปตลอดชีวิต

จากการวิจัยพบว่า สมองของเด็กที่ถูกทอดทิ้งไม่ได้รับการเอาใจใส่ ซึ่งเป็นเด็กที่ไม่มีพัฒนาการทางอารมณ์ สมองส่วนที่ดูแลเกี่ยวกับอารมณ์จะไม่พัฒนา และมีขนาดเล็กกว่าปกติเพราะว่าเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่อบอุ่น ไม่ได้รับความรัก ความเอาใจใส่ในระยะแรกของชีวิตจึงทำ ให้ไม่มีเครือข่ายเส้นใยสมองในส่วนที่จะทำ ให้เกิดพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี

หรือเด็กเล็กๆ 2 - 3 ขวบที่ถูกทำ ร้าย เมื่อโตขึ้นก็มักเป็นคนที่ชอบทำ ร้ายคนอื่น ทำ ให้เพื่อนร้องไห้เสมอ เด็กกลุ่มนี้ซึ่งไม่ได้รับความสนใจจะเกิดความเครียดที่ยาวนานและเป็นคนโกรธง่ายโดยไม่มีสาเหตุ ผิดกับเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น ได้รับการตอบสนองที่ถูกต้องเหมาะสม และมีความผูกพันใกล้ชิดกับพ่อแม่ จะมีความสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาได้ดีกว่าสามารถเข้ากับเด็กอื่นได้ดีกว่า และสามารถเรียนหนังสือได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้รับความอบอุ่น

มีการวิจัยพบว่า เด็กวัย 3 เดือนที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นสมํ่าเสมอ จะสร้างฮอร์โมนเครียดออกมาน้อย ถ้าเกิดอารมณ์โมโห โกรธ ก็จะหายโกรธเร็วกว่า แสดงว่าเด็กอายุเพียง 3 เดือนก็สามารถควบคุมความโกรธและความเครียดได้ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเลี้ยงดู

นอกจากการเลี้ยงดูที่จะมีผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์แล้ว การเล่นก็เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่สำ คัญมากอย่างหนึ่งซึ่งจะส่งเสริมความฉลาด พวกเราส่วนใหญ่คิดว่าการเรียน คือการที่เราได้รู้ข้อเท็จจริงหรือความจริง แต่ความจริงแล้วเด็กๆ เรียนผ่านการเล่น ถ้าหากว่าเราคอยเฝ้าดูเด็กเล็กๆ 2 - 3 คนเล่นกัน เราจะเห็นว่าเด็กได้เรียนรู้หลายๆ อย่างจากการเล่นนั้น

ต่อไปนี้เป็นแนวทางในการเลี้ยงดูลูกให้มีพัฒนาการทางอารมณ์และสติปัญญาที่ดี
1.ให้ความรักความอบอุ่นและการตอบสนองต่อความต้องการของลูกอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่น เมื่อลูกร้อง ต้องดูว่าหิวหรือเปียกหรือเจ็บไข้ไม่สบาย แล้วตอบสนองให้ถูกต้อง ไม่ใช่เวลาเด็กร้องแล้วเราเครียด ดุหรือตะโกนใส่ หรือจับเด็กแรงๆ ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อการเรียนรู้ของเด็ก
2. ฝึกลูกให้รู้จักกิจวัตรประจำ วันที่สมํ่าเสมอ เช่น ตื่นเช้าต้องล้างหน้า อาบนํ้า แปรงฟัน แต่งตัว หรือดูแลให้กินให้นอนเป็นเวลา
3. มีเวลาพูดคุยกับลูกบ่อยๆ พยายามให้ลูกโต้ตอบ โดยถามคำ ถามที่สามารถจะตอบได้กว้างๆ เช่น "ละครสัตว์ที่ไปดูมาหนูชอบอะไรมากที่สุด" แทนที่จะถามว่า "ชอบละครสัตว์ไหม"
4. อ่านหนังสือและร้องเพลงให้ลูกฟัง จัดหาหนังสือให้ลูกแม้ว่าลูกยังไม่พร้อมจะอ่านก็ตามแต่เป็นการสร้างบรรยากาศให้ลูกคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือ โดยพ่อแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟังบ้าง ชี้ให้ลูกดูภาพในหนังสือบ้าง
5. ส่งเสริมให้ลูกใฝ่รู้ ก่อนอื่นต้องให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้ เสาะแสวงหาคำ ตอบต่างๆ ด้วยตัวเอง มีอิสรภาพในการเสาะแสวงหาความรู้ การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นสิ่งสำ คัญมาก ทำ ให้เด็กมีโอกาสมีประสบการณ์ด้วยตัวเขาเอง ได้สัมผัส จับต้อง ลองทำ ทดลองสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ให้โอกาสลูกได้เล่นซุกซนอย่างปลอดภัย
6. เลือกรายการโทรทัศน์ให้ลูกดูและไม่ให้ดูมากเกินไป
7. จะต้องฝึกลูกให้มีระเบียบวินัย มีขอบเขต ไม่ทำ ตามใจชอบไปเสียทุกอย่าง
8. ฝึกลูกให้มีทักษะในการแก้ปัญหา โดยการให้ลูกช่วยเหลือตัวเองบ้าง หรือได้ทำ อะไรด้วยตัวเองบ้าง เพราะถ้าหากพ่อแม่คอยแก้ปัญหาให้ลูกทุกอย่าง ก็เหมือนตัดโอกาสที่ลูกจะได้เรียนรู้ขั้นตอนการแก้ปัญหา เพราะฉะนั้นต้องให้โอกาสเด็กแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
9. ต้องจำ ไว้เสมอว่าเด็กทุกคนมีความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเด็กจะมีความสนใจต่างกัน
10. คนเลี้ยงดูลูก จะต้องเป็นคนที่มีคุณภาพและเอาใจใส่เด็ก


ขอบคุณบทความดีๆจาก จากรายงานการวิจัย เรื่อง "สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร" โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 รศ.พ.ญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์

โพสต์โดย W. Bond

วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่) บทที่ 5



บทที่ 5 แนวทางการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี คนเก่ง ที่มีความสุข

นอกเหนือจากการพัฒนาลูกในช่วงเวลาทองในระยะ 3 ปีแรกของชีวิตลูกแล้ว พ่อแม่จะต้องเข้าใจแนวทางการเลี้ยงดูลูกที่จะทำ ให้ลูกเติบโตเป็นคนดี คนเก่ง ที่มีความสุข สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 หรืออนาคตข้างหน้าได้ (เสื้อผ้าเด็กขายส่ง macaroonies)

แล้วถ้าถามว่าลูกของเราในวันข้างหน้าควรจะเป็นอย่างไร ก็คงตอบได้ว่าเด็กในศตวรรษใหม่นี้ไม่ควรมีความสามารถเฉพาะความรู้ทางวิชาการเท่านั้น ลูกควรจะต้องมีความรู้ความสามารถในด้านอื่นๆ ด้วย รวมทั้งจะต้องมีคุณลักษณะที่ทำ ให้สามารถมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมีความสุข

ถ้าเรานึกย้อนไปสมัยเมื่อเราเรียนหนังสือไม่ว่าชั้นมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัย จะเห็นได้ว่าเพื่อนบางคนที่เรียนเก่งมาก สอบได้ที่หนึ่งของรุ่น เป็นหนอนหนังสือ ไม่เอาเพื่อน ไม่ทำ กิจกรรมทางสังคมเลย คนคนนี้เมื่อจบออกมาแล้วจะไม่ประสบความสำ เร็จเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นที่เรียนปานกลาง แต่เป็นคนที่มีบุคลิกอัธยาศัยดี มีเพื่อนมาก มีความรู้รอบตัวทั้งสังคมและสิ่งต่างๆนอกจากการเรียน ไม่ได้เรียนรู้เฉพาะวิชาการอย่างเดียว คนคนนั้นจะประสบความสำ เร็จมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ข้าราชการ หรือนักธุรกิจ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คนที่มีอัธยาศัยดีจะประสบความสำเร็จ

อีคิว (EQ)


มีทฤษฎีค่อนข้างใหม่เป็นที่ตื่นเต้นมากในวงการการศึกษาและผู้ที่อยู่ในวงการการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเด็ก คือทฤษฎีของอีคิว (Emotional Intelligence หรือ Emotional Quotient - EQ) หรือความสามารถในการพัฒนาอารมณ์ ปัจจุบันเชื่อว่า ไอคิว เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำ ให้คนเราประสบความสำ เร็จ แต่ อีคิว เป็นปัจจัยสำ คัญที่ช่วยให้คนเราประสบความสำ เร็จ และถ้าจะให้ดีก็ต้องมีความสมดุลกันทั้งไอคิวและอีคิว

เรื่องของอารมณ์เป็นความรู้สึกที่ทุกคนจะต้องมี ซึ่งจะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางให้เห็นว่ากำลังเศร้า ดีใจ เสียใจ โกรธ หรือตื่นเต้น โดยไม่ต้องพูด โดยทั่วๆ ไป อารมณ์มีหลายอย่าง อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า ความกลัว ความสนุกสนาน ความรัก ความประหลาดใจ ความรู้สึกรังเกียจและความรู้สึกอาย อารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางร่างกายตอบสนองด้วย เช่น เวลาเราโกรธเลือดจะไหลไปที่มือ ร่างกายจะเกร็ง เวลาเราเศร้าร่างกายเหมือนกับไม่มีพลัง อ่อนล้า การเคลื่อนไหวของร่างกายจะช้าลง เวลากลัว เราจะตัวแข็ง ซึ่งเหมือนคำ พังเพยที่ว่ากลัวจนตัวแข็งนั่นเองเพราะเรากำ ลังเตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนีหรือต่อสู้ หากเราสนุกสนาน ร่างกายก็จะผ่อนคลายเพราะไม่ต้องเตรียมตัวสู้หรือหนี เวลาคนที่อยู่ในอารมณ์รัก จะรู้สึกอ่อนโยน ผ่อนคลาย มีความสุข ถ้าเรารู้สึกรังเกียจ ไม่พอใจ เราก็จะแบะริมฝีปาก ทำ จมูกเชิด ถ้าเรารู้สึกอายก็จะหลบสายตา ไม่กล้าสู้หน้า

คนที่จะมีความสามารถในการพัฒนาทางอารมณ์ หรือ มีอีคิว ก็จะต้องมีการรู้เท่าทันในอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้น การรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองก็คือความสามารถในการรู้ตัว สามารถเข้าใจตัวเองว่ากำ ลังอยู่ในสภาวะอารมณ์อย่างไร รู้จักควบคุมอารมณ์ ควบคุมการแสดงออกให้แสดงออกอย่างพอเหมาะพอควร ไม่น่ารังเกียจ อย่างนี้เรียกว่าการรู้ตัว เช่น ถ้าโกรธก็ไม่แสดงอารมณ์ร้อนปึงปังใส่ผู้อื่น รู้จักข่มใจ ยับยั้งชั่งใจ รวมทั้งมีความเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นด้วย เช่น รู้ว่าเขากำ ลังโกรธ ก็ไม่ไปเซ้าซี้กวนใจ การแสดงออกอย่างเหมาะสมทำ นองนี้ทำ ให้ไม่มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น

นอกจากนี้อีคิวยังรวมถึงคุณลักษณะอื่นๆ ที่จะทำ ให้คนเราประสบความสำ เร็จด้วย นอกจากการรู้ตัว เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นแล้ว ยังต้องมีความขยันหมั่นเพียร ไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆไม่จับจด มีความกระตือรือร้นอยากจะทำ โน่นนี่ อยากประสบความสำ เร็จ แต่ก็ไม่ใช่เป็นคนที่ชอบแข่งขัน คือ รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ที่สำ คัญต้องมีระเบียบวินัยในตัวเอง รู้จักกำหนดขอบเขตให้ตัวเอง เป็นคนคล่อง มีทักษะหลายๆ อย่าง

คนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้จะเป็นที่ยอมรับในสังคม เมื่อไปทำ งานก็จะได้รับการยอมรับจากลูกน้อง หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ทำ ให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ประสบความสำ เร็จ และมีความสุขในชีวิต เรามักพบว่าคนที่ไม่มีอีคิว มักจะมีปัญหากับคนอื่น มีปัญหาชีวิตครอบครัว เป็นผู้ปกครองพ่อแม่ที่ไม่มีคุณภาพ มีสุขภาพไม่ดี เป็นคนติดเหล้า ติดบุหรี่ โกรธคนอื่นหรือโทษคนอื่นตลอดเวลา เป็นคนไม่มีความสุขในชีวิต

เพราะฉะนั้นพ่อแม่ควรจะปลูกฝังลูกให้มี อีคิว เสียตั้งแต่เล็กๆ จึงจะเป็นผลดีที่สุด การปลูกฝังให้ลูกมีอีคิวนั้น สิ่งสำ คัญที่สุดจะต้องให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตัวเอง พ่อแม่จะต้องยอมรับความรู้สึกของลูกก่อน ถ้าลูกโกรธก็อย่าพูดว่า "โกรธทำ ไม ไม่เห็นมีอะไรน่าโกรธ" แต่ต้องบอกว่า "มันน่าโกรธจริงๆ ด้วย แต่ทำ ไมลูกถึงโกรธล่ะ ใครทำ ให้ลูกโกรธ" ลูกก็จะกล้าเล่า หลังจากที่เรายอมรับและรับฟังความรู้สึกของลูก ลูกจึงจะค่อยๆ รู้จักจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง แต่หากเราไม่ยอมรับอารมณ์ของลูก ลูกก็จะไม่ยอมรับฟังเรา เราควรจะต้องมองในสิ่งที่ดีของลูก และชมให้ลูกรู้ว่าเขามีส่วนดีเพราะจะทำ ให้ลูกมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ทำ ให้ลูกรู้ว่าตัวเขาเป็นที่รักและมีคุณค่า ลูกจะเกิดทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง

จริงๆ แล้ว ถ้าพิจารณาลึกๆ จะพบว่า อีคิว ไม่ใช่เรื่องใหม่ ศาสนาพุทธเองก็สอนให้เราเป็นคนเอาใจเขามาใส่ใจเรา สุขุม ไม่ทำ ร้ายผู้อื่นทั้งกาย วาจา ใจ สอนให้มีจริยธรรม ประมาณตน ขยันหมั่นเพียร


ขอบคุณบทความดีๆจาก จากรายงานการวิจัย เรื่อง "สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร" โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 รศ.พ.ญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์

โพสต์โดย W. Bond